วันพุธที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2552

แนวทางในการอนุรักษ์ ฟื้นฟู พัฒนาศิลปหัตถกรรมการแกะรูปหนังตะลุง



แนวทางการอนุรักษ์และฟื้นฟู พัฒนาศิลปหัตถกรรมการแกะรูปหนังตะลุง
1. การค้นคว้าวิจัย ควรศึกษาและเก็บรวบรวมองค์ความรู้เกี่ยวกับการแกะหนังตะลุงอย่างเป็นระบบ เช่นจัดทำเป็นคู่มือการแกะรูปหนังตะลุง เพื่อใช้เป็นข้อมูลและหลักฐานในการศึกษาและพัฒนาภูมิปัญญาต่อไป โดยบูรณาการทำงานร่วมกันกับ หน่วยงานภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สถานศึกษา เช่น สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดพัทลุง
2. การอนุรักษ์ ควรมุ่งส่งเสริมโดยการปลุกจิตสำนึกคนในท้องถิ่นโดยเฉพาะเยาวชนให้ตะหนักถึงคุณค่าและแก่นสาระ และความสำคัญของภูมิปัญญาการแกะรูปหนังตะลุง ส่งเสริม สนับสนุนและสืบทอดการนำภูมิปัญญาการแกะรูปหนังตะลุงและการเล่นหนังตะลุงซึ่งควบคู่กันมายาวนาน เช่น การประกวดแกะรูปหนังตะลุง การประกวดการแสดงหนังตะลุงนักเรียน หนังตะลุงทอล์กโชว์สร้างจิตสำนึกของความเป็นท้องถิ่นในด้านต่างๆ เช่น ร่วมกันสร้างเอกลักษณ์ของท้องถิ่น เช่น สร้างพิพิธภัณฑ์ผ้าทอเกาะยอขึ้นเพื่อรวบรวมผ้าลายต่างๆของท้องถิ่นทั้งในอดีตและปัจจุบันเพื่อเป็นศูนย์กลางแห่งความภาคภูมิใจของชุมชน เป็นต้น
3. การฟื้นฟู โดยการสำรวจช่างแกะรูปหนังตะลุงในท้องถิ่นที่กำลังจะสูญหายหรือไม่มีการถ่ายทอดให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้มาเพื่อส่งเสริมหรือฝึกอบรมให้มีการแกะรูปหนังตะลุงขึ้นมาใหม่หรือนำมาบันทึกไว้ในรูปแบบต่างๆ เช่น จัดทำคู่มือการแกะรูปหนังตะลุง เพื่อให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาเรียนรู้ต่อไป โดยร่วมมือกับสถานศึกษา สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดที่มีภูมิปัญญาด้านนี้อยู่
4. การพัฒนา ควรริเริมสร้างสรรค์ภูมิปัญญาการแกะรูปหนังตะลุง ให้เหมาะสมกับยุคสมัยและเกิดประโยชน์ในการดำเนินชีวิต โดยใช้ภูมิปัญญาเป็นพื้นฐาน และส่งเสริมให้การนำความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีมาช่วยเพื่อต่อยอดในการผลิต การตลาด และการบริหาร ตลอดจนการป้องกันและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม โดยร่วมมือกับสถานศึกษา หน่วยงาน องค์กรภาครัฐเอกชน
5. การถ่ายทอด
การถ่ายทอดความรู้ศิลปหัตถกรรมการแกะรูปหนังตะลุง เป็นการถ่ายทอดจากรู่นสู่รุ่น โดยเริ่มต้นจาการถ่ายทอดแก่บุคคลในครอบครัว และถ่ายทอดสู่เยาวชนและประชาชน ตลอดจนผู้สนใจ
6. การส่งเสริมกิจกรรมและการเผยแพร่แลกเปลี่ยน โดยส่งเสริมให้เกิดการเผยแพร่ภูมิปัญญาด้านการแกะรูปหนังตะลุงและการแลกเปลี่ยนภูมิปัญญาการทำศิลปหัตถกรรมการแกะรูปหนังตะลุง เช่น การศึกษาดูงาน การเยี่ยมชม กลุ่มแกะหนังตะลุงภายในจังหวัดและต่างจังหวัดเพื่อเป็นการเปิดโลกทัศน์และแนวคิดจากภายนอกเพื่อนำมาปรับใช้เพื่อความยั่งยืนต่อไป

7. การยกย่องและเสริมสร้างปราชญ์ด้านการการแกะรูปหนังตะลุง โดยการสนับสนุนการพัฒนาศักยภาพของชาวบ้าน ผู้ดำเนินงานให้มีโอกาสแสดงศักยภาพด้านภูมิปัญญา ความรู้ความสามารถอย่างเต็มที่ มีการยกย่องประกาศเกียรติคุณในลักษณะต่างๆ เพื่อให้ปราชญ์ท้องถิ่นเกิดความภาคภูมิใจและกำลังใจในการดำเนินการด้านภูมิปัญญา รวมทั้งสร้างสรรค์ผลงานด้วยความเต็มใจ

คุณค่าและบทบาทงานช่างแกะรูปหนังตะลุงต่อวิถีชีวิต


คุณค่าและบทบาทงานช่างต่อวิถีชีวิตของคนในท้องถิ่น
การแกะรูปหนังตะลุง เป็นงานศิลปหัตกรรมพื้นบ้านที่มีคุณค่าและมีบทบาทต่อวิถีชีวิตของคนในท้องถิ่นมานานหลายร้อยปี วัตถุประสงค์หลักของการแกะรูปหนังตะลุงในอดีตก็เพื่อใช้ในการแสดงหนังตะลุงเท่านั้น เป็นภูมิปัญญาที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษในครอบครัวของตนหรือเรียนรู้ด้วยการฝึกหัด ฝึกฝนเป็นหลัก จากเพื่อนบ้านในหมู่บ้านของตน ซึ่งการแกะรูปหนังตะลุงนั้นมักจะแกะอยู่ในกรอบของวิถีชีวิต สังคมและวัฒนธรรมท้องถิ่น ทั้งรูปแบบและลวดลาย ที่มีคุณค่าด้านต่าง ๆ ดังนี้
1. คุณค่าด้านสังคม สามารถก่อให้เกิดความรัก ความผูกพัน สามารถอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขและยั่งยืน ตั้งแต่ด้านครอบครัว ด้านชุมชน ด้านความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนและด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ดังนี้
1.1 ด้านครอบครัว การเรียนรู้สืบทอดภูมิปัญญาจากบรรพบุรุษ จากพ่อสู่ลูก ส่งผล
ครอบครัวมีความรู้สึกผูกพันใกล้ชิด ก่อให้เกิดความรัก ความเข้าใจ ความผูกพันอันทรงคุณค่ายิ่งในครอบครัว
1.2 ด้านชุมชน การเรียนรู้การแกะรูปหนังตะลุงในหมู่เพื่อนบ้านและการที่หลายๆ ครอบครัวได้เข้ามารวมกลุ่มแกะหนังตะลุงขึ้นมาเป็นการใช้กระบวนการทำงานแบบการรวมกลุ่มทำงานในรูปแบบของสมาชิกกลุ่ม ทำให้มีการเคารพต่อกันและการอาศัยอยู่ร่วมกับคนอื่นภายใต้กฎระเบียบสังคมเดียวกัน ก่อให้เกิดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันภายในชุมชน ส่งผลให้ชุมชนเข้มแข็งและสามารถอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขและยั่งยืน
1.3 ด้านความสัมพันธ์ระหว่างชุมชน เมื่อมีกลุ่มแกะหนังตะลุงเกิดขึ้นในชุมชน จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องหาตลาดภายนอกชุมชนเพื่อการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และสร้างรายได้ให้กับชุมชน เป็นการเปิดโอกาสให้ชาวบ้านได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ถ่ายทอดความรู้ ก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกับชุมชนอื่นๆ อีกด้วย
1.4 ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จะเห็นได้ว่าจากการที่รูปหนังตะลุงที่แกะเป็นของที่ระลึก และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่แกะจากหนังวัว หนังควายนั้น เป็นที่สนใจของคนทั่วไปและชาวต่างชาติเป็นอย่างดี ถือได้ว่าการแกะรูปหนังตะลุงเป็นงานศิลปหัตกรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดพัทลุงและของภาคใต้ เป็นสินค้าอย่างหนึ่งที่สามารถเชิญชวนให้นักท่องเที่ยวได้มาเยี่ยมชม ทัศนศึกษาและได้ซื้อผลิตภัณฑ์ศิลปหัตถกรรมพื้นบ้านการแกะรูปหนังตะลุงกลับไปสู่ประเทศของตน ก่อให้เกิดความภาคภูมิใจในภูมิปัญญาของตน ที่สามารถถ่ายทอดวัฒนธรรมไปสู่ต่างประเทศได้และเป็นส่วนหนึ่งในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้วัฒนธรรมกับต่างประเทศ ทำให้ภูมิปัญญาไทยเป็นที่รู้จักในต่างประเทศมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้มีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศดีขึ้นตามมาด้วย
2. คุณค่าด้านศาสนา ความเชื่อในด้านศาสนาที่มีอยู่ในท้องถิ่น โดยจะแกะหนังเป็นรูปพระเพื่อเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจและกราบไหว้สักการะบูชา 3. คุณค่าด้านวัฒนธรรม อันประกอบด้วย
3.1 ด้านความเชื่อ ช่างแกะหนังในจังหวัดพัทลุง มีวัฒนธรรมความเชื่อถือผีบรรพบุรุษ โดยมีความเชื่อเกี่ยวกับการไหว้ครูช่าง โดยความเชื่อนับถือครูบาอาจารย์ที่ประสาทวิชาความรู้การแกะหนังตะลุงมาสู่รุ่นลูกรุ่นหลาน และไหว้วิญญาณของบรรพบุรุษ ซึ่งเป็นความเชื่อว่า วิญญาณของบรรพบุรุษยังมีความรักความห่วงใยลูกหลาน คอยพิทักษ์รักษาดูแลทุกคนในวงเครือญาติให้อยู่อย่างปลอดภัย มีความเจริญในหน้าที่การงาน
นอกจากจะมีความเชื่อในเรื่องผีบรรพบุรุษแล้ว ยังมีความเชื่อสิ่งเหนือธรรมชาติ ช่างแกะหนังตะลุงมีความเชื่อว่า การทำรูปหนังพวกฤาษี รูปตัวตลก จะนิยมใช้หนังหมี หนังเสือมาแกะรูป ส่วนรูปหนังพระอิศวร พระนารายณ์ ใช้หนังวัวที่ถูกเสือกัดตาย หรือออกลูกหรือถูกฟ้าผ่าตาย เรียกว่า ตายพราย วัวที่ถูกฟ้าผ่าตายและหนังวัวที่ตายทั้งกลม โดยมีความเชื่อว่าหนังชนิดนี้มีความขลังความศักดิ์สิทธิ์ ถือเป็นความเชื่อด้านเหนือสิ่งธรรมชาติ ในเรื่องของภูตผีปีศาจอยู่ ช่างแกะหนังในจังหวัดพัทลุงทุกคนเคารพและนับถือความเชื่อด้านสิ่งเหนือธรรมชาติที่สิงสถิตอยู่ที่ตัวรูปหนังและจะบูชากราบไหว้ และถือว่าตัวรูปหนังดังกล่าวนำความเจริญ โชคลาภ ความดีความงามมาสู่แก่ช่างแกะหนังทุก ๆ คน
นอกจากความเชื่อดังกล่าวแล้ว ในการแสดงหนังตะลุงก็มีความเชื่อว่า การเชิดรูปพระอิศวร เป็นตัวที่ 2 ต่อจากรูปฤาษี เป็นรูปสำคัญตัวหนึ่งที่หนังตะลุงทุกคณะต้องเชิดตามขนบนิยมทุกครั้งที่มีการแสดง เป็นการสะท้อนให้เห็นว่า รูปพระอิศวร เป็นสื่อเชื่อมโยงให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างวัฒนธรรมหนังตะลุงกับคตินิยมตามลัทธิศาสนาพราหมลัทธิไศวนิกายที่ถือเอาพระศิวเทพเป็นใหญ่ในตรีมูรติ (พระศิวะ พระวิษณะ และพระพรหม)
4. คุณค่าด้านเศรษฐกิจ จากในอดีตการที่ช่างแกะรูปหนังตะลุง แกะเพื่อใช้ในการแสดงหนังตะลุงเท่านั้น ทำให้มีการแกะกันเพียงไม่กี่ครัวเรือน ปัจจุบัน การแกะรูปหนังตะลุงมีทั้งแกะสำหรับการแสดงและแกะเพื่อเป็นสินค้า เป็นของที่ระลึก และใช้ประดับตกแต่ง ทำให้การแกะรูปหนังตะลุงฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง สามารถเพิ่มเศรษฐกิจได้เป็นอย่างดี ทั้งยังก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกับชุมชนอื่น ๆ อีกด้วย 5. คุณค่าด้านความสุนทรีย์ การแกะรูปหนังตะลุง ต้องเป็นคนที่มีความรู้สามารถ ความเข้าใจและความชำนาญในด้านศิลปะเป็นอย่างดี โดยเฉพาะลวดลายไทย ที่ต้องใช้ในการแกะหนัง และสามารถวาดรูปและลงสีให้สวยงามเกิดความสุนทรีย์ในผลิตภัณฑ์ ส่งผลในการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ได้อีกประการหนึ่งด้วย
6. คุณค่าด้านการสร้างจิตนิสัย จากการที่ชาวบ้านได้รวมกลุ่มทำศิลปหัตถกรรมการแกะหนังตะลุง เป็นการรวมกลุ่มกันทำให้เกิดคุณค่าด้านการสร้างจิตนิสัยเกิดความสัมพันธ์กันเป็นสังคมท้องถิ่น ส่งผลให้ชาวบ้านสร้างจิตนิสัยในด้านต่างๆ 6 ด้าน ได้แก่ ความสามัคคีในกลุ่ม ความอดทน ความมีจิตใจเอื้ออารี ความขยันหมั่นเพียร ความประหยัดและการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์
7. คุณค่าด้านการช่วยลดภาวะโลกร้อน ศิลปหัตกรรมการแกะรูปหนังตะลุงสามารถช่วยลดโลกร้อนได้ด้วยเหตุผล ดังนี้
7.1 ประหยัดพลังงานเชื้อเพลิง เป็นการช่วยในการลดการแพร่กระจายของกาซคาร์บอนไดออกไซด์ ไม่เกิดมลภาวะเป็นพิษ ใช้แรงงานจากบุคคลในการผลิต มากกว่าใช้เทคโนโลยี และไม่ใช้เทคโนโลยีระดับสูง ใช้เครื่องมือที่ไม่ใช้พลังงานมาก
7.2 ลดการใช้ปุ๋ยไนโตรเจน โดยนำขนวัว ขนควาย เศษหนังที่ไม่ใช้ นำมาทำปุ๋ยแทนการใช้ปุ๋ยชีวภาพ
7.3 ใช้พลังงานทดแทน โดยใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ในการตากหนัง
7.4 การรวมกลุ่มอาชีพ รวมกลุ่มสร้างตลาดผู้บริโภค-ผู้ผลิตโดยตรงในท้องถิ่น เพื่อลดกระบวนการขนส่งผ่านพ่อค้าคนกลางที่ต้องใช้พลังงานและน้ำมันในการคมนาคมขนส่งงานหัตถกรรมไปยังตลาด

การแกะรูปหนังตะลุงขั้นพื้นฐาน




การแกะรูปหนังตะลุงขั้นพื้นฐาน มีขั้นตอนดังต่อไปนี้
1. นำหนังแห้งตัดรูปร่างขนาดตามความต้องการมาเตรียมไว้
2. ร่างแบบหรือวาดลวดลายโครงร่างและรายละเอียดของรูปตามต้องการ
3. การตอกรูปหนัง นำ หนังที่เตรียมไว้แกะรูปวางบนไม้รองตอก (เขียง) เป็นไม้เนื้อแข็งใช้ไม้หยี
4. ใช้ตุ๊ดตู่ (มุก) ขนาดตามต้องการตอกลายเป็นแนวตามลวดลายตัวรูปหนัง
5. การแกะและตัดรูปหนัง โดยนำหนังที่ต้องการแกะวางไว้บนไม้รองตอก เป็นไม้เนื้ออ่อน ใช้ไม้สะทังหรือไม้ตีนเป็ด ใช้มีดแกะหรือมีดขุดแกะรูปหนังที่เป็นลายกนกขอบนอก หรือที่เป็นมุมเป็นเหลี่ยม หรือเป็นลายกนกอันอ่อนช้อย โดย
6.ใช้มีดแกะตัดรูปตัวหนังออกจากแผ่นหนังได้รูปตัวหนังตามต้องการ
7. การลงสี หรือระบายสีรูปและลงน้ำมัน สีที่ใช้ทารูปหนังส่วนมากจะเป็นสีผสมอาหาร จะมีสีเขียว สีแดง สีเหลือง สีชมพู ส่วนสีดำจะใช้สีหมึกอินเดียอิ้งค์ การลงสีหรือระบายสี มีดังนี้
7.1 นำสีมาผสมกับเหล้าขาว
7.2 นำหวายเล็กมาตัดเป็นท่อนขนาดเท่ากับพู่กันเล็ก ๆ
7.3 ทุบปลายให้แบน ๆ เป็นฝอยคล้ายพู่กัน
7.4 จุ่มสีทาระบายตามลวดลายต่าง ๆ ตามต้องการ
8. การลงน้ำมัน นำน้ำมันวานิชผสมกับน้ำมันเบนซิน แล้วใช้แปรงขนอ่อนหรือพู่กันหรือหวายจุ่มน้ำมันทาตามตัวรูปหนัง ใช้แปรงและหวายที่ใช้แล้วล้างด้วยน้ำมันเบนซินให้สะอาด
9. การประกอบตัวหนัง โดยการเหลาไม้ไผ่สีสุก ความยาวกว่าตัวหนังตะลุง เหลาผ่าซีก เว้นส่วนล่างไว้ ประมาณ 4 - 5 นิ้ว เสียบเข้าตับตัวหนังแล้วใช้เชือกเอ็นร้อยชิ้นส่วนของร่างกาย เช่น แขน ไหล่ จะใช้เศษหนังร้อย ส่วนปากของตัวตลกใช้ยางเส้นตัดให้ขาดนำมาร้อยเชื่อม ระหว่างปากบน – ล่าง
ลุงจะต้องตั
รูปแบบผลิตภัณฑ์ภูมิปัญญาการแกะรูปหนังตะลุง
การนำเอาหนังสัตว์ เช่น หนังวัว หรือหนังควายมาฟอกแล้วนำไปแกะสลัก ระบายสี “ผูกไม้ตับ” และผู้ไม้ชูมือ เพื่อทำเป็นหนังเชิด ใช้ในการแสดงหนังตะลุง นั้น ช่างแกะรูปหนังตะลุง ยังได้แปรรูปผลิตภัณฑ์เป็นรูปแบบต่าง ๆ เพื่อตกแต่งบ้านเรือน เป็นของที่ระลึก หรือเพื่อเป็นประโยชน์ใช้สอยต่าง ๆ เช่น รูปหนังตะลุงขนาดเล็ก ขนาดกลางละขนาดใหญ่ ที่มีความขลัง ความศักดิ์สิทธิ์ ความเป็นศิริมงคล หรือความสวยงาม ได้แก่ รูปฤาษี รูปอนุมาน รูปเจ้าเมือง รูปพระบูชาหลวงปู่ทวด องค์จตุคามรามเทพ นอกจากนี้ช่างแกะหนังตะลุงได้สรรสร้างงานวิจิตรศิลป์ เป็นภาพติดฝาผนัง ภาพวิวทิวทัศน์ ภาพสัตว์ในวรรณคดี ภาพเครื่องหมายของกระทรวง ทบวงกรมต่าง ๆ ที่ผู้สนใจสั่งทำ และเศษหนังเล็ก ๆ ก็สามารถนำมาแกะเป็นพวงกุญแจรูปหนังตะลุง รูปตัวตลก ซึ่งสามารถทำรายได้ให้ทำช่างเป็นอย่างดี โดยเฉพาะพวงกุญแจนี้ จะเป็นฝีมือของเด็ก เยาวชนและผู้สนใจทั่วไปที่เริ่มฝึกหัดแกะหนัง

ขั้นตอนและองค์ความรู้ในการแกะหนังตะลุง

ขั้นตอนและองค์ความรู้ในการแกะรูปหนังตะลุง
ในการประดิษฐ์สร้างสรรค์งานศิลปหัตถกรรมการแกะรูปหนังตะลุงนี้ จะเห็นได้ว่าจากรูปหนังที่ได้ผลิตขึ้นมานั้น มีขั้นตอน วิธีการที่ซับซ้อนมากในการผลิตให้ออกมาเป็นตัวหนังตะลุงได้ และการที่ช่างได้พัฒนาภูมิปัญญา เพื่อสร้างมูลค่าให้เกิดขึ้นนั้น ช่างต้องใช้ฝีมือในการผลิต โดยไม่ต้องอาศัยเครื่องจักรกล หรือเทคโนโลยีในการผลิต นำวัสดุเหลือใช้ที่มีอยู่ในท้องถิ่นมาสร้างสรรค์ผลงาน จนสามารถประกอบเป็นอุตสาหกรรมในครัวเรือนหลายครัวเรือนและมีการรวมกลุ่มเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ก่อให้เกิดความรักสามัคคี สามารถสร้างเสริมให้สังคมสันติสุขและยั่งยืนได้
ขั้นตอนการแกะรูปหนังตะลุง ไม่ว่าจะเป็นรูปหนังเชิดหรือรูปสำหรับตกแต่ง มีกรรมวิธีทำเหมือนกัน คือ
1. ขั้นเตรียมหนัง หนังที่ช่างทั่ว ๆ ไปนิยมใช้คือหนังวัวและหนังควาย และถือเป็นองค์ความรู้ของช่างในการเลือกหนังได้อย่างหนึ่ง เพราะหนังทั้งสองชนิดนี้ มีคุณลักษณะพิเศษกว่าหนังสัตว์อื่น ๆ มีความหนาบางพอเหมาะ มีความแข็งและปรับตัวดี เหนียวและมีความคงทนเมื่อฟอกแล้วจะโปร่งแสง เมื่อระบายสีและนำออกเชิดจะให้สีสันสวยงามและหนังทั้งสองชนิดนี้จะไม่บิดงอหรือพับง่าย ช่างจะนำหนังสด ๆ มาวางบนแผ่นกระดานหรือพื้นที่ที่เตรียมไว้เพื่อฟอกหนัง ขั้นการฟอกหนังจะนำหนังที่ตากแห้งโดยใช้ความร้อนจากพลังงานแสงอาทิตย์มาหมักในน้ำหมักสับปะรด น้ำผลมะเฟืองใบส้มป่อย ใบชะมวง หรือส้มอื่น ๆ และข่า การฟอกแบบนี้จะสะดวก เพราะในพื้นที่ท้องถิ่นหาได้ง่าย และอีกวิธีหนึ่งคือ การฟอกด้วยน้ำส้มสายชู จากนั้นก็นำไปขูดขนออก ล้างด้วยน้ำสะอาดแล้วนำไปตากให้แห้งอีกครั้งหนึ่ง
2. ขั้นออกแบบและร่างภาพลงบนแผ่นหนัง เป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการแกะหนัง เป็นงานประณีตต้องมีความสามารถในการออกแบบ ใช้ทั้งความรู้ จินตนาการ ฝีมือ และทักษะประกอบกัน การร่างภาพอาจจะร่างบนหนังเลยหรือแกะฉลุร่างบนกระดาษ แล้วนำไปเป็นแบบวางทาบบนแผ่นหนัง ช่างแกะหนังทุกคนจะต้องมีความสามารถร่างภาพได้จึงจะได้ชื่อว่า ช่างแกะหนังที่แท้จริง การร่างภาพในแต่ละภาพก็จัดว่าสำคัญ เพราะถือว่ารูปหนังแต่ละตัว เป็นการเขียนหน้า เขียนตาให้ถึงบทและให้ตัวละครมีลักษณะให้เหมือนจริงมากที่สุด และช่างก็ต้องเข้าใจกายวิภาค ลักษณะรูปร่างสรีระของร่างกาย ของตัวรูปหนังนั้น ๆ ด้วย และที่สำคัญจะต้องเข้าใจว่าจะร่างส่วนไหนของรูปก่อนและช่างจะต้องมีองความรู้เรื่องกนกลวดลายไทยด้วย เพื่อให้รูปมีความอ่อนโยน สวยงามตามลักษณะของรูปหนังแต่ละตัว
3. ขั้นแกะหนัง ขั้นตอนนี้จะต้องใช้ความชำนาญและพิถีพิถันมาก เครื่องมือที่ใช้แกะประกอบด้วยเขียงไม้เนื้ออ่อนและไม้เนื้อแข็ง มีด ตุ๊ดตู่หรือมุกลักษณะต่าง ๆ เช่น กลม เหลี่นม โค้ง ซึ่งจะต้องใช้มุกให้สัมพันธ์กับลวดลาย เช่น ถ้าเป็นดอกลายต่าง ๆ หรือเส้นประ ก็จะใช้มุกดอกตามลักษณะของปากมุกแต่ละแบบ ซึ่งช่างต้องใช้ความชำนาญและต้องพิถีพิถันมาก เพื่อให้ได้ดอกลายที่อ่อน งดงาม ช่วงจังหวะของดอกลายแต่ละตัวก็ขึ้นอยู่กับตัวรูปหนัง ส่วนมากรูปกนกลายที่มีความสวยงามจะเป็นรูปตัวพระ ตัวนาง รูปพระราชา พระราชินีและรูปเจ้าเมือง หลังจากแกะส่วนภายในของรูปเสร็จก็ใช้มีดขุดแกะหนังตามเส้นรอบนอกก็จะได้รูปหนังแยกออกเป็นตัว ถ้าเป็นรูปหนังเชิด ช่างจะใช้หมุดร้อยส่วนต่าง ๆ ที่ต้องการให้เคลื่อนไหวได้ตามส่วนต่าง ๆ ของรูป ซึ่งมีส่วนของมือ แขนและปาก เป็นต้น ส่วนเครื่องมือประกอบเพิ่มเติมที่ขาดไม่ได้ คือ สบู่ หรือเทียนไข นับเป็นองค์ความรู้ของช่างที่ได้นำสบู่ หรือเทียนไข มาใช้จิ้มปลายมีดหรือปลายมุก เพื่อกันมีดและมุกมีลักษณะฝืดและไม่ลื่นไหล สบู่ หรือเทียนไข จะทำให้มีดมุกตอกลงบนหนังทะลุง่าย ลื่น ทำลวดลายได้เร็วขึ้น
ก่อนเริ่มต้นการแกะรูปหนังตะลุงในแต่ละวัน ช่างแกะหนังตะลุงจะต้องตั้งจิตระลึกถึงครูบาอาจารย์และพระพิฆเณศวร์พระผู้ประสาทวิชาศิลป์ แล้วจรดปลายมีดแกะลงบนผืนหนัง เพื่อแกะรูปตัวแรก พร้อมกับกล่าวคาถาเบิกตา เปิดหู เสร็จแล้วกล่าวคาถาเบิกปากรูป เป็นอันว่ารูปตัวต่อ ๆ ไปที่ทำในวันนั้น ทำต่อไปได้ไม่ต้องว่าคาถาแล้ว แต่พอเริ่มวันใหม่ก็ต้องว่าคาถาเหมือนเดิมอีก
4. ขั้นลงสี การลงสีรูปหนังขึ้นอยู่กับลักษณะรูป ลักษณะของหนังและประโยชน์ใช้สอย รูปหนังเพื่อใช้เชิดต้องใช้สีฉุดฉาดเด่นสะดุดตา การลงสีของรูปหนังตะลุงบางครั้งต้องลงสีตามเนื้อเรื่องที่นายนายมาสั่งทำ โดยเฉพาะการระบายสีเสื้อผ้า ต้องคำนึงเป็นพิเศษ ตามสมัยนิยม ซึ่งจะสะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิตของคนในท้องถิ่นนั้น ๆ ได้เป็นอย่างดี เช่น ตัวตลกแต่งตัวเป็นข้าราชการ เป็นตำรวจ ทหาร ครู กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เป็นต้น ส่วนรูปหนังที่ใช้ประดับตกแต่ง มีการลงสีที่จาง ๆ ไม่เข้ม เช่น สีน้ำตาล และสีดำ หรือไม่ลงสีเลย
5. ขั้นลงน้ำมันชักเงา เมื่อลงสีรูปหนังเสร็จก็ถือว่ารูปหนังเสร็จสมบูรณ์แล้ว แต่ถ้าลงน้ำมันชักเงาจะทำให้รูปหนังเป็นมันงาม โดยเฉพาะหนังเชิด เมื่อออกจอผ้าขาวจะดูสวยงามยิ่งขึ้น และจะช่วยรักษาสภาพหนังมิให้ชำรุดเร็วเกินไป
6. การประกอบตัวหนังและการเข้าตับรูปหนัง รูปหนังที่แกะเป็นประเภทตกแต่ง เพื่อประโยชน์ใช้สอย เมื่อระบายสีเสร็จเรียบร้อยแล้ว จะนำไปเข้ากรอบหรือฉาก ตามความต้องการขอผู้ใช้ แต่รูปหนังประเภทที่ใช้เชิด โดยเฉพาะหนังตะลุง จะต้องมีการประกอบชิ้นส่วนอวัยวะของรูปหนังบางส่วนที่ต้องการให้เคลื่อนไหวได้ เช่น แขน มือ ปาก ตา เท้า เป็นต้น จึงต้องเอาชิ้นส่วนเหล่านี้มาเจาะร้อยเข้าด้วยกันเป็นช่วง ๆ ในช่วงที่มีการพับ งอ ใช้ไม้ผูกสำหรับเคลื่อนไหวแสดงท่าทางเพื่อให้ดูมีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้น แล้วนำมาเข้าตับรูปหนัง โดยใช้ไม้ไผ่เหลาผ่าปลายลงมาไม่ตลอด ใช้คีบตัวหนัง เจาะแล้วผูกให้แน่นด้วยเชือก

วัสดุเครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิต

วัสดุในการผลิต
วัตถุดิบที่ใช้ ได้แก่หนังวัว หรือหนังควาย การเลือกหนังวัวหรือหนังควายมาใช้ เนื่องจากหนังทั้งสองชนิดนี้ มีคุณลักษณะพิเศษกว่าหนังสัตว์อื่น ๆ มีความหนาบางพอเหมาะ มีความแข็งและปรับตัวดี เหนียวและมีความคงทนเมื่อฟอกแล้วจะโปร่งแสง เมื่อระบายสีและนำออกเชิดจะให้สีสันสวยงามและหนังทั้งสองชนิดนี้จะไม่บิดงอหรือพับง่าย ในการเลือกหนังช่างมีวิธีการเลือก ดังนี้
1. ลักษณะของขน ต้องอยู่ในสภาพดี
2. ลักษณะของสภาพผิวของหนัง ต้องไม่มีรอยช้ำ ขูดขีด มีรอยเขียวคล้ำ
3. การพิจารณาน้ำหนักและขนาดของหนัง ต้องมีเกณฑ์ที่เหมาะสม คือ ประมาณ 8 – 13 กิโลกรัม และมีขนาดความกว้างและความยาวเป็นลักษณะสี่เหลี่ยมผืนผ้า แต่ถ้าเป็นหนังที่ใช้แกะสำหรับเชิดจะไม่คำนึงถึงขนาดมากนัก

ปัจจุบันหนังมี 2 ชนิด คือ
1. หนังธรรมดา หมายถึง หนังวัว หรือหนังควายที่ฟอกด้วยมือ หนังชนิดนี้นิยมแกะรูปหนังตะลุงที่ใช้เพื่อการแสดง
2. หนังแก้ว หมายถึง หนังวัว หรือหนังควายที่ฟอกจากโรงงาน หนังชนิดนี้นิยมแกะรูปหนังตะลุงเพื่อจำหน่ายเป็นของที่ระลึก ประดับตกแต่งบ้านเรือนและบางครั้งก็เพื่อการแสดงหนังตะลุงด้วย โดยเฉพาะนายหนังที่กำลังฝึกหัดใหม่

เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิต
เครื่องมือและอุปกรณ์ที่สำคัญในการผลิต ประกอบด้วย
1. เหล็กแหลมหรือเหล็กขีด ใช้สำหรับร่างแบบเป็นรูปต่าง ๆ บนหนัง
2. ค้อน ใช้ตอกตุ๊ดตู่ (มุก) เป็นค้อนเหล็ก
3.ไม้รองตอก (เขียง) ไม้เนื้อแข็ง ใช้ไม้หยี สำหรับใช้รองตอกรูปหนัง ไม้เนื้ออ่อน ใช้ไม้สะทัง สำหรับรองการตัดรูปหนัง
4. มีดแกะ ต้องมีความคมมาก ใช้สำหรับตัดหนังเป็นรูปต่าง ๆ
5. หินลับมีด ใช้สำหรับลับมีด
6. สบู่ขิง ใช้สำหรับจิ้มปลายเครื่องมือหรือตุ๊ดตู่ เพื่อให้เกิดความลื่นเวลาตอก
7. มุก หรือ ตุ๊ดตู่ ใช้ตอกลวดลาย ซึ่งมีอยู่หลายแบบ เช่น มุกสามเหลี่ยม,มุกเหลี่ยม
มุกกลม,มุกโค้ง,มุกตา,มุกปากแบน,มุกตอก,มุกวารี,มุกหัวใจ,มุกดาว ลักษณะเป็นแท่งเหล็กกลม ปลายคม มีรูกลวง ขนาดตามที่ต้องการ
8. ไม้ไผ่ ใช้สำหรับทาบตัวหนัง หรือเข้าตับรูปหนัง
9. เชือก,เส้นด้าย ใช้ร้อยเชื่อมระหว่างชิ้นตัวต่าง ๆ ของตัวหนัง
10. สีต่าง ๆ ใช้ระบายสีตัวหนังตะลุง เช่น สีแดง,สีเขียว,สีน้ำเงิน,สีดำ หรือสีตามความต้องการ สีที่ใช้มักเป็นสีย้อมแพร สีย้อมผ้า สีน้ำหมึก สีทำขนม
11. หวายเล็กสำหรับระบายสี ตัดเป็นท่อนสั้น ๆ
12. แปรงขนอ่อน สำหรับทาน้ำมัน
13.น้ำมันวานิช
14. น้ำมันเบนซิน

เอกลัษณ์และอัตลักษณ์ของรูปหนังตะลุง






เอกลักษณ์และอัตลักษณ์ของรูปหนังตะลุง
การแกะรูปหนังตะลุงที่ใช้ในการแสดงนั้น ช่างแกะหนังตะลุง ต้องใช้ ใช้ความรู้ความสามารถ ความชำนาญซึ่งเป็นภูมิปัญญาของบรรพบุรุษที่มีการสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นเป็นเวลายาวนานและจะต้องมีศิลปะ ความละเอียด ความประณีต มีใจรัก มีจินตนาการที่ดี ต้องศึกษาประวัติความเป็นมา บุคลิกภาพของรูปตัวหนังตะลุงที่จะแกะว่ามีรูปแบบหน้าตา เอกลักษณ์ของรูปหนังแต่ละตัวว่าเป็นอย่างไร เพื่อที่จะได้แกะรูปภาพออกมาตามแบบตัวละครที่สวยงามและมีชีวิตชีวา ตลอดทั้งความเชื่อในการแกะรูปหนังตะลุง ที่เชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ซึ่งได้ยึดถือกันตลอดมา ทั้งนี้เพื่อให้เกิดสิริมงคลแก่ตนเองและคณะหนังตะลุง ไม่ว่าจะอยู่ระหว่างการแกะรูปหนังตะลุงหรือการแสดงหนังตะลุงก็ตาม ช่างแกะหนังตะลุงจะต้องตั้งจิตระลึกถึงครู อาจารย์และพระพิฆเณศวร์ ผู้ประสาทวิชาศิลป์ แล้วจรดปลายมีดแกะลงบนผืนหนังเพื่อจะแกะรูปหนังตะลุงตัวแรก พร้อมกล่าวเป็นคาถาเบิกตา เสร็จแล้วกล่าวคาถาเบิกปากรูป เป็นอันว่ารูปตัวต่อ ๆ ไปที่ทำในวันนั้น ทำต่อไปได้ไม่ต้องว่าคาถาแล้ว แต่พอเริ่มวันใหม่ก็ต้องว่าคาถาเหมือนเดิมอีก ช่างจึงสามารถถ่ายทอดภูมิปัญญาในการแกะรูปหนังตะลุงได้โดยสามารถสื่อให้เห็นถึงเอกลักษณ์และหัตลักษณ์เฉพาะตัวของรูปหนังตะลุงได้เป็นอย่างดี ซึ่งรูปหนังตะลุง แบ่งแยกออกเป็น 4 ชนิด คือ
1. รูปเรื่อง ได้แก่ รูปฤาษี รูปพระอิศวรหรือรูปพระอินทร์ทรงโค รูปปรายหน้าบทและรูปบอกเรื่อง ซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะ ดังนี้
1.1 รูปฤาษี
ถือเป็นรูปครูมีความขลังศักดิ์สิทธิ์ มีความเคร่งขรึม ฤาษีที่อยู่ในเนื้อเรื่องของหนังตะลุงมักเป็นสิทธาจารย์ ผู้คงแก่เรียนทำนองเดียวกับฤาษีในวรรณกรรม มักเรียกว่า ฤาษีตาไฟ ทรงวิทยาคุณอย่างพราหมณ์ และทรงคุณธรรมอย่างพุทธประสมประสานกันบทบาทดี่เด่นชัด ช่างแกะรูปหนังตะลุง ต้องใช้ภูมิปัญญาในการแกะที่สามารถสื่อให้เห็นถึงเอกลักษณ์ของรูปนี้ให้ได้ ซึ่งแต่ละช่างก็ไม่สามารถถ่ายทอดให้เหมือนกันได้ทุกคน รูปฤาษีจะออกมาในลักษณะใดขึ้นอยู่กับความสามารถและจินตนาการของช่างนั้น ๆ
1.2 รูปพระอิศวร(รูปโค)
รูปพระอิศวรของหนังตะลุง เป็นรูปสำคัญตัวหนึ่งที่หนังตะลุงทุกคณะต้องเชิดตามขนบนิยมทุกครั้งที่มีการแสดง และเชิดเป็นตัวที่ 2 ต่อจากรูปฤาษี รูปพระอิศวร เป็นสื่อเชื่อมโยงให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างวัฒนธรรมหนังตะลุงกับคตินิยมตามลัทธิศาสนาพราหมณ์ลัทธิไศวนิกายที่ถือเอาพระศิวเทพเป็นใหญ่ในตรีมูรติ (พระศิวะ พระวิษณะ และพระพรหม) ซึ่งช่างต้องใช้ความสามารถในการสื่อให้เห็นภาพพจน์ของรูปลักษณะเช่นนี้ให้เข้าใจได้ง่าย

1.3 รูปปรายหน้าบท
ปรายหน้าบท ถือว่าเป็นตัวแทนของนายหนัง ที่ช่างต้องใช้ภูมิปัญญาในการคิดที่จะถ่ายทอดให้ออกมาเป็นรูปชายหนุ่มที่สวยงามมือถือธงหรือดอกบัว ใช้เชิดหลังจากพระอิศวรจบแล้ว เพื่อกล่าวบทไหว้ครูและปรารภเรื่องต่าง ๆ กับผู้ชม
1.4 รูปบอกเรื่อง
เป็นตัวตลกตัวหนึ่งของคณะหนังแต่ละคณะเพื่อใช้ในการบอกเรื่องที่จะแสดง ซึ่งรูปบอกเรื่องของนายหนังแต่ละคณะนั้นจะแตกต่างกัน เป็นรูปที่แกะแบบหยาบ ๆ ง่าย ๆ เอกลักษณ์ของตัวตลก เป็นการนำเอาคนในท้องถิ่นมาสรรสร้างขึ้นเพื่อล้อเลียน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงภูมิปัญญาที่สำคัญของช่างอีกประการหนึ่งที่สามารถสื่อออกมาในลักษณะของการตลก ขบขันได้
2. รูปนุด ได้แก่รูปมนุษย์ชายหญิง รูปพระรูปนาง รูปเจ้าเมือง มเหสี พระโอรสธิดา รูปพระเอก นางเอก โดยช่างต้องใช้ฝีมือในการแกะให้เหมือนจริงที่สุดและลงสีสันให้สวยงาม
3. รูปยักษ์ ได้แก่ ตัวแทนฝ่ายอธรรม รูปทาสา รูปทาสี ซึ่งไม่มียศศักดิ์
ยักษ์ในหนังตะลุง มี 3 ประเภท คือ ยักษ์กินคน มีความโหดร้ายอำมหิตโดยสันดาน ยักษ์ใจบุญสุทาน ร่างเป็นยักษ์แต่ใจเป็นมนุษย์ เดนยักษ์หรือยักษ์บ้า เป็นยักษ์ป่า บ้า ๆ บอ ๆ ยักษ์ทั้ง 3 ประเภทนี้มีทั้งเพศหญิงและเพศชาย ยักษ์ผู้เรียกว่ายักษา ยักษ์เมียเรียกว่ายักษี การแกะรูปยักษ์ช่างต้องสื่อให้เห็นถึงความขึงขัง มีอำนาจและดุร้าย ทั้งรูปแบบของตัวหนังและการใช้สี ส่วนรูปทาสา รูปทาสีที่ไม่มียศศักดิ์ ก็เป็นความสามารถของช่างเช่นกันที่สามารถสื่อออกมาให้เห็นถึงเอกลักษณ์ของรูปหนังแต่ละตัวได้
4.รูปกาก คือรูปตลกต่าง ๆ พูดจาหรือแสดงท่าทางขบขันเอาเนื้อหาสาระไม่ได้ บางตัวถือว่าเป็นตัวสำคัญสร้างชื่อเสียงให้หนังตะลุง บางครั้งอาจจะจัดให้เป็นตัวศักดิ์สิทธิ์ของคณะนั้น ๆ รูปกากส่วนใหญ่จะเป็นรูปสีดำหรือสีดั้งเดิมที่นำมาแกะรูป ไม่ค่อยมีลวดลาย แต่ก็เป็นภูมิปัญญาของช่างที่สามารถนำบุคคลในท้องถิ่นมาล้อเลียนเป็นตัวตลกของคณะหนังได้ ประกอบด้วยตัวตลกต่าง ๆ เช่น นายเท่ง นายหนูนุ้ย นายยอดทอง

ประวัติความเป็นมาของรูปหนังตะลุง


ประวัติความเป็นมาของรูปหนังตะลุง
จากหลักฐานทราบว่า บริเวณที่อียิปต์ กรีก ตุรกี ซีเรีย อาฟริกาเหนือ บริเวณเหล่านี้มีหนังมาก่อน โดยเฉพาะในสมัยพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช ผู้ครองอาณาจักรมาสิโดเนีย ได้ใช้เวลาในการพิชิตโลก ๑๑ ปี เมื่อพระองค์เข้าเหยียบแดนไอยคุปต์ พระองค์ถือว่าท่านเป็นเทพเจ้าองค์หนึ่ง เมื่อได้เข้ามาเยี่ยมเทพสถานอำมอนรา เมื่อกลับออกมาหัวหน้านักพรตยกย่องพระองค์ว่าทรงเป็นโอรสของอำมอนราแล้ว ในการนั้นได้มีการเฉลิมฉลองการเป็นโอรสของพระองค์ ได้มีการแสดงหนังของไอยคุปต์ เมื่อพระองค์เดินทางเข้าสู่แคว้นปัญจาบของอินเดีย ก็ได้นำศิลปศาสตร์ของกรีกเข้ามาด้วยแล้วต่อไปยังจีนและแพร่หลายไปในที่อื่นๆ ในเอเชียแต่นั้นมา ซึ่งประเทศต่างๆ ที่พระองค์นำศิลปศาสตร์เข้าไป เช่น อินเดีย จีน ก็นำไปดัดแปลงให้เข้ากับอารยธรรมของตน
เมื่ออินเดียรับอารยธรรมของกรีกและอียิปต์เข้ามา ในขณะเดียวกันอินเดียก็มีอารยธรรมอันสูงส่ง มีศาสนาพราหมณ์เป็นเจ้าอยู่ ก็นำมาปรับเข้ากับศาสนาและความเชื่อของตนแล้วนำแพร่ขยายลงไปยังอินเดียใต้ จีน เขมร ลาว ไทย ชวา มาลายู บาหลี ฯลฯ วิธีการเล่นหนังเมื่อไปถึงประเทศใด ประเทศนั้นก็รับเอาวิธีการปรับให้เข้าความเชื่อ ประเพณี ศาสนา ซึ่งเป็นวัฒนธรรมของตน เช่น เป็นหนังจีน หนังใหญ่ หนัง Sbek ของเขมร หนังชวา หนังบาหลี หนังทมิฬ และหนังตะลุงของไทย
การเล่นหนังในสมัยแรกๆ น่าจะเป็นหุ่น รูปหุ่นเห็นได้ทุกๆด้านเมื่อออกมาสู่หน้าจอมีไฟสว่างเห็นสีสันได้อย่างชัดเจน ต่อมาได้พัฒนาจากการเล่นหุ่นมาเป็นการเล่นเงา (Shadow Puppet) ต้องให้แสงส่องผ่านทะลุจึงจะเห็นเงาชัดเจน มิฉะนั้นจะเป็นรูปทึบมองไม่ออกว่าเป็นรูปอะไร จึงมีการฉลุลวดลายขึ้นตามศิลปะในท้องถิ่นหรือประเทศนั้นๆ ทำให้เกิดสีสันสวยงามขึ้นเมื่อมีแสงไฟลอดผ่าน ความจริงนี้เราสามารถสังเกตได้จากรูปหนังสมัยก่อน ใช้หนังหนาแสงลอดผ่านไม่ได้แสงขับสีสันออกมาไม่ได้จึงมองเห็นเป็นรูปทึบ แต่ก็เหมาะที่เล่นกลางวันอย่างเช่น หนังชวาและการเล่นหนังใหญ่ของไทย ต่อมาได้มีการพัฒนาการฟอกหนัง เพื่อให้หนังบางเมื่อนำมาแกะสลักเป็นรูปหนังแสงไฟก็จะขับสีสันออกมาให้เห็นได้อย่างสวยงามยิ่งขึ้นตามที่ปรากฏในรูปหนังตะลุงในปัจจุบัน
การแกะรูปหนังตะลุง ผู้แกะรูปหนังหรือศิลปินจะต้องมีพื้นความรู้ มีความคิด มีจินตนาการ และประสบการณ์ เมื่อแกะรูปออกมาแล้วจะต้องสอดคล้องกับประเพณี ความเชื่อ ศาสนา และการแต่งกายของท้องถิ่นหรือประเทศนั้นๆ ดังรายละเอียดต่อไปนี้
1. รูปหนังชวา (Wayang Jawa) รูปหนังของชวาหน้าตาจะไม่เหมือนคน เพราะชวาถือว่าเรื่องที่เล่นเป็นของสูง เป็นเทวดา เช่น เรื่อง “มหาภารตะ” และ “รามายณะ” หรือเรื่องที่มีอยู่เดิมในบ้านก็มี คือ อิเหนา ฉะนั้นเทวดารูปร่างหน้าตาจะเหมือนคนไม่ได้
2. รูปหนังใหญ่ของไทย หนังใหญ่ของไทยเข้าใจว่าแบบอย่างจากอินเดีย แต่ความคิดและจินตนาการก็เป็นแบบไทย เพราะเราได้แต่วิธีการและเรื่องมา รูปหนังเป็นแผ่นใหญ่มีเรื่องราวเป็นฉากๆแบบเดียวกับของอินเดีย เช่น มีปราสาท เรือน รูปหนังทำด้วยหนังทั้งผืน ใช้ไม้หนีบ (ไม้ตับ) ๒ อัน และไม้สำหรับเชิดมือ ส่วนศิลปะหน้าตาและอื่นๆก็เป็นแบบของไทยเอง
3. รูปหนังวายังเซียม (Wayang Siam) วายังเซียม คือ หนังไทย มีเล่นอยู่ตามจังหวัดชายแดนภาคใต้และทางตอนเหนือของมาเลเซีย เป็นหนังผสมกันระหว่างหนังชวากับหนังตะลุงของไทย แต่ก็ยังมีรูปหนังคล้ายๆ หนังชวาบ้าง เช่น แดหวอ (เทวดา) เป็นต้น
การสร้างรูปหนังไทย จากการศึกษาค้นคว้า สรุปได้ว่า หนังของไทยมีมาแล้วตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ตามที่ปรากฏในสมุทรโฆษคำฉันท์ ลักษณะของรูปหนังเป็นแบบรูปหนังใหญ่ ต่อมาอาจจะเห็นว่ารูปหนังใหญ่เป็นรูปใหญ่มาก ทำด้วยหนังทั้งผืน หากมีรูปมากก็ยากต่อการขนย้ายจึงค่อย ๆ ลดขนาดของรูปให้เล็กลง จากรูปหนังใหญ่ก็กลายเป็นรูปเล็ก หรือภายหลังเรียกว่า “หนังตะลุง” เท่าที่ปรากฏหลักฐานทางกรุงเทพมหานคร เรียกว่า หนังตะลุง ในสมัยรัชกาลที่ ๓ ก่อนแต่นี้เรียกว่า “หนัง” คนทางภาคใต้ก็เรียกว่า “หนัง” ไม่มีคำว่า ตะลุง แต่เมื่อมีคำว่า ตะลุง เกิดขึ้น หนังเดิมที่คนกรุงเทพฯ เคยรู้จักก็ได้ชื่อว่า หนังใหญ่ ประชาชนทางภาคใต้ เมื่อประมาณ ๔๐ ปีมาแล้ว เรียกหนังตะลุงว่า หนัง อย่างเช่นชาวบ้านจะพูดว่า “ไปแลหนังไหรเล่น” (หนังอะไร) หรือ “หนังเลิก” ต่อมาภายหลังคนภาคใต้รู้ว่าหนังที่ตนดูนั้นชาวกรุงเทพฯเรียกว่า “หนังตะลุง”
ศิลปะในการแกะรูปหนังถ่ายทอดมาจากหนังใหญ่ ยึดแบบหนังใหญ่เป็นหลัก ในการสร้างภายหลังได้มีการดัดแปลงปรับปรุงตามท้องถิ่นตามกาลเวลา วิธีการเล่นอาจนำการเล่นแบบชวามาเล่นบ้าง แล้วก็พัฒนาไปตามแบบของตน
ช่างแกะรูปหนังตะลุงเป็นผู้มีความรู้ มีฝีมือทางศิลปะ มีพื้นความรู้ทางประเพณี วัฒนธรรมทุกด้าน มีประสบการณ์ รู้จักใช้จินตนาการรวมทั้งขนบนิยมในการสร้าง ช่างแกะรูปหนังตะลุง แบ่งเป็น 2 พวก คือ
1. นายหนังเป็นช่างแกะเอง นายหนังตะลุงหลายคนที่มีนิยายในการเล่นเป็นของตนเองหมายถึงตนเองเป็นผู้ประพันธ์ขึ้นมา เป็นผู้มีความรู้และประสบการณ์สูงก็สามารถแกะสลักรูปหนังออกมาตามที่ตนคิด รูปที่แกะออกมาก็จะสมใจผู้เป็นนายหนังมากที่สุด
2. ช่างแกะรูปหนังโดยเฉพาะ บุคคลกลุ่มนี้จะมีอาชีพเป็นช่างแกะรูปหนังโดยเฉพาะเล่นหนังไม่เป็น รู้ถึงความต้องการของนายหนังที่มาสั่งแกะรูป ส่วนมากจะมีอาชีพอื่นประกอบอยู่แล้วงานแกะรูปเป็นงานอดิเรก สามารถแกะรูปหนังตามรูปลักษณ์ที่นายหนังต้องการ บางครั้งก็แกะรูปหนังเตรียมไว้มากมาย รอนายหนังเป็นผู้ไปเลือกซื้อ แต่ส่วนมากจะแกะตามรูปลักษณ์ที่นายหนังไปชี้แนะ

ประวัติความเป็นมาของหนังตะลุง





ประวัติความเป็นมาของหนังตะลุง
หนังตะลุง หมายถึง คณะมหรสพที่นำตัวหนังซึ่งตัดและแกะจากหนังสัตว์ มาเป็นรูปตัวละครต่างๆตามท้องเรื่องที่จะแสดงมาเชิดบนจอด้านใน โดยใช้แสงสว่างให้เกิดเงาบนจอหนัง หนังตะลุงอีกชนิดหนึ่งคือหนังประโมทัย ในภาคอีสานนั้น ได้รับแบบอย่างมาจากหนังตะลุงภาคใต้ โดยนิยมแสดงเรื่องรามเกียรติ์เป็นหลัก
หนังตะลุงเป็นการละเล่นพื้นบ้านภาคใต้ที่มีประวัติมาอย่างช้านานและเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายและสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน ทั้งนี้หนังตะลุงคนซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับหนังตะลุงซึ่งเป็นบ่อเกิดหนังตะลุงคนเกิดจากหนังตะลุง ดังนั้นนักวิชาการหลายคนได้พยายามศึกษาประวัติความเป็นมาของหนังตะลุงว่าเริ่มขึ้นที่ใดและเมื่อใดแต่ยังหาข้อยุติไม่ได้ และยังมีความเห็นแตกต่างกันอยู่ เกี่ยวกับเรื่องนี้
ธนิต อยู่โพธิ์ (2522 : 1-2) ได้กล่าวถึงความเป็นมาของหนังตะลุงว่า “มหรสพพื้นบ้านที่ขึ้นหน้าขึ้นตาของชาวไทยสมัยโบราณอีกอย่างหนึ่งคือหนัง ซึ่งเรียกกันภายหลังว่าหนังใหญ่ เพราะมีหนังตะลุงซึ่งเป็นหนังตัวเล็กเกิดขึ้นอีกอย่างหนึ่ง จึงได้เติมคำเรียกให้แตกต่างกันออกไป”ซึ่งถ้าตีความนี้ก็แสดงว่าหนังตะลุงน่าจะเกิดขึ้นหลังหนังใหญ่ของภาคกลาง แต่เมื่อพิจารณาผลการศึกษาค้นคว้าของนักวิชาการคนอื่น ๆ เข้าประกอบแล้วจะเห็นว่ายังไม่อาจถือเป็นข้อยุติได้นักว่าหนังตะลุงเกิดขึ้นหลังหนังใหญ่ ทั้งนี้เพราะคำว่า “หนังตะลุง” เป็นคำที่เรียกกันในเวลาต่อมา ในสมัยก่อนชาวภาคใต้เรียกการละเล่นแบบนี้ในภาคใต้ว่า “หนัง” หรือบางทีเรียก “หนังควน”
จากหลักฐานเก่าแก่เกี่ยวกับหนังตะลุงที่บ่งชี้ว่า หนังตะลุงเป็นศิลปะการแสดงน่าจะมีต้นกำเนิดที่ภูมิภาคนี้คือที่จังหวัดพัทลุง จากนั้นจึงแพร่หลายไปยังจังหวัดอื่น ๆ ในภาคใต้
สมเด็จพระบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ (2508 : 99) ได้ทรงบันทึกไว้ตอนหนึ่งว่าพวกชาวบ้านควน (มะ) พร้าว แขวงจังหวัดพัทลุงคิดเอาอย่างหนังแจก (ชวา) มาเล่นเป็นเรื่องไทยขึ้นก่อนแล้วจึงแพร่หลายไปที่อื่น ในมณฑลนั้นเรียกว่า “หนังควน” เจ้าพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์ (วร บุนนาค) พาเข้ากรุงเทพฯ ได้เล่นถวายตัวที่บางปะอินเป็นที่แรกเมื่อปีชวด พ.ศ.2419
วิบูลย์ ลี้สุวรรณ (2525 : 180) ได้แสดงทรรศนะไว้ว่าหนังตะลุงเป็นการละเล่นที่ไทยได้รับมาจากชวา โดยกล่าวว่า หนังตะลุงเป็นการละเล่นของชวาที่มีมาก่อน ศตวรรษที่ 11 แล้วแพร่หลายเข้มายังมาลายูและภาคใต้ของไทย โดยที่ชาวมลายูหรือมาเลเซียในปัจจุบันเรียกว่า วายังกุเล็ต (ไทยใช้วายังกุลิต) “วายัง” แปลว่ารูปหรือหุ่น “กุเล็ต” แปลว่าเปลือก หรือหนังสัตว์รูปที่ทำด้วยหนังสัตว์ และตัวหนึ่งที่เข้ามาสู่ประเทศไทยหรือชวาก็ตามจะเห็นว่ามีรูปร่างลักษณะที่ผิดแปลกแตกต่างไปจากมนุษย์ธรรมดา เป็นเพราะความเชื่อของชาวชวานั้นไม่นิยมสร้างรูปคนที่เป็นที่เคารพนับถือ การทำตัวหนังจึงได้สร้างให้มีลักษณะที่ต่างไปจากคนธรรมดา ซึ่งลักษณะนี้ปรากฏอยู่ในตัวหนังไทยโดยเฉพาะตัวตลก
หนังตะลุงหรือการแสดงหนังเงา มีปรากฏอยู่ในประเทศต่าง ๆ เช่น อียิปต์ กรีก โรมัน จีนและอินเดีย สำหรับอินเดีย เริ่มมีการแสดงหนังหลังพุทธกาลเล็กน้อย ในประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก็อาจจะได้รับอิทธิพลการแสดงหนังตะลุงมาจากอินเดียก็ได้เนื่องจากการเข้ามาซึ่งการขยายอำนาจทางวัฒนธรรม ศาสนา การค้าขาย เป็นต้น
ตามทรรศนะของนักวิชาการพอจะสรุปได้ว่า หนังตะลุงเป็นการละเล่นพื้นบ้านภาคใต้ที่มีประวัติสืบต่อกันมาอย่างช้านานแม้นักวิชาการยังไม่อาจสรุปได้แน่ชัดว่าหนังตะลุงเกิดขึ้นมาที่ไหน และเมื่อใดนั้น แต่นักวิชาการต่างเห็นพ้องกันว่าหนังตะลุงเป็นการละเล่นพื้นบ้านที่เก่าแก่อย่างหนึ่งและเป็นการละเล่นที่นิยมกันมากในภาคใต้ตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน

ศิลปหัตถกรรมการแกะรูปหนังตะลุง



ความเป็นมา
งานหัตถกรรม คืองานที่มนุษย์สร้างสรรค์ขึ้นมาจากฝีมือและภูมิปัญญา เป็นการแดสงออกถึงความเจริญทางวัฒนธรรม เป็นมรดกที่แสดงให้เห็นถึงความเจริญทางวัฒนธรรม เป็นมรดกที่แสดงให้เห็นถึงเอกลักษณ์ไทย สะท้อนให้เห็นถึงภูมิปัญญาและจิตใจของมนุษย์ได้เป็นอย่างดี หัตถกรรมเป็นการสนองความต้องการของมนุษย์ โดยมนุษย์ได้ดัดแปลงประดิษฐ์คิดค้นขึ้นจากวัสดุที่มีอยู่แล้วตามธรรมชาติ เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ตามที่มนุษย์ต้องการ ด้วยเหตุนี้หัตถกรรมแทบทุกประเภทจึงเกิดขึ้นเพื่อเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกและความบันเทิงในการดำรงชีวิตของมนุษย์แทบทั้งสิ้น ดังที่ วิบูลย์ ลี้สุวรรณ ( 2525 : 34 ) กล่าวไว้ว่า มนุษย์สร้างงานหัตถกรรมขึ้นมาก็เพื่อประโยชน์ใช้สอยทั้งทางกายและทางจิตใจเป็นสำคัญ จากการประดิษฐ์คิดค้นที่กระทำสืบต่อกันมาเป็นเวลานับพันนับร้อยปี ช่วยให้มนุษย์เกิดความชำนาญและเรียนรู้ในการเลือกสรรวัตถุดิบ เรียนรู้ในการปรับปรุงพัฒนารูปแบบของหัตถกรรมประเภทต่าง ๆ ให้สามารถสนองประโยชน์ได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุดเท่าที่จะทำได้และเมื่อหัตถกรรมนั้น ๆ มีความสมบูรณ์ในการใช้สอยแล้ว ความชำนาญความจัดเจนในกรรมวิธีจะช่วยให้ช่างหรือผู้สร้างงานหัตถกรรมมีความงามและมีคุณค่าทาง “ศิลปะ” เป็นการพัฒนา “หัตถกรรม” ไปสู่ “ศิลปหัตถกรรม” การแกะรูปหนังตะลุงเป็นงานศิลปหัตถกรรมที่มีความสัมพันธ์กับบริบทของสังคมทั้งด้านสภาพธรรมชาติและสภาพวัฒนธรรม ภาคใต้เป็นแหล่งหนึ่งที่มีการผลิตงานศิลปหัตถกรรมหลายประเภทในพื้นที่หลายแห่งสืบมาช้านาน “การแกะรูปหนังตะลุง” เป็นงานงานหัตถกรรมที่มีชื่อเสียงมากอย่างหนึ่งของชาวภาคใต้ที่สืบต่อกันมาตั้งแต่อดีตควบคู่กับการเล่นหนังตะลุงจนถึงปัจจุบัน
ในอดีตการแกะรูปหนังตะลุง จะทำเฉพาะสำหรับเชิดในการเล่นหนังตะลุงเท่านั้น และ การเล่นหนังตะลุง ก็จะเล่นเรื่องรามเกียรติ์เป็นพื้น ครั้นต่อมานายหนังเลือกเรื่องอื่น ๆ ในวรรณคดีไทยบ้าง ชาดกบ้าง และปรับปรุงเนื้อหาในการแสดงใหม่เพื่อให้ทันกับสถานการณ์ในแต่ละยุคสมัย เป็นวิวัฒนาการของศิลปะการแสดงที่เคียงคู่ไปกับความเปลี่ยนแปลงในวิถีชีวิตของคนไทย เช่น เรื่องไกรทอง สังข์ทอง ไชยเชษฐ์ แก้วหน้าม้า กฎแห่งกรรม ต้นรักดอกโศก เป็นต้น แต่ปัจจุบันสภาพสังคมเปลี่ยนแปลงไป ทำให้ช่างแกะรูปหนังตะลุงได้พัฒนาหันมาแกะรูปหนังในเชิงพาณิชย์ เป็นศิลปะในการตกแต่งอาคารบ้านเรือน ฝาผนังและเพื่อประโยชน์ใช้สอยเบ็ดเตล็ด เป็นต้น ช่างฝีมือพื้นบ้านการแกะรูปหนังตะลุงเป็นภูมิปัญญาของช่างที่มีความรู้ทางศิลปะและวัฒนธรรมเป็นอย่างดีเป็นผู้ที่มีประสบการณ์และรู้จักใช้จินตนาการในการแกะโดยทั่วไปจะมีอยู่ 2 กลุ่ม คือ นายหนังเป็นช่างแกะรูปหนังเองและช่างแกะรูปหนังเป็นผู้แกะรูปหนังเองโดยเฉพาะ
การแกะรูปหนังตลุง เป็นงานศิลปหัตถกรรมที่มีชื่อเสียงของจังหวัดพัทลุง มีเอกลักษณ์เฉพาะถิ่น ที่สืบทอดกันมาตั้งแต่อดีตควบคู่กับการเล่นหนังตะลุงในจังหวัดทางภาคใต้ โดยเฉพาะจังหวัดพัทลุงและจังหวัดใกล้เคียง เป็นงานศิลปหัตถกรรมที่ต้องทำด้วยมืออย่างเดียว เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ ซึ่งจะต้องใช้ความรู้ ทักษะ ความชำนาญซึ่งเป็นภูมิปัญญาของบรรพบุรุษที่มีการสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นเป็นเวลายาวนานและจะต้องมีศิลปะความละเอียดอ่อน ความปราณีต ผู้แกะรูปหนังตะลุงจะต้องมีใจรัก มีจินตนาการที่ดี ต้องศึกษาประวัติความเป็นมาของตัวรูปหนังตะลุงที่จะแกะว่ามีรูปร่างหน้าตาเอกลักษณ์ว่าเป็นอย่างไร เพื่อจะได้รูปหนังตะลุงตามตัวละครที่สวยงามและมีชีวิตชีวา ตลอดทั้งความเชื่อในการแกะรูปหนังตะลุงที่มีขั้นตอน กรรมวิธีที่ซับซ้อน หลาย ๆ ด้านประกอบกัน การแกะรูปหนังแต่ละตัว แต่ละประเภท ไม่ว่ารูปหนังสำหรับเชิดและรูปหนังที่ใช้ในการประดับตกแต่ง กว่าจะผลิตผลงานออกมาแต่ละชิ้น ต้องอาศัยความรู้ ศิลปะ ความอดทน ความพยายาม ความพิถีพิถัน ทุ่มเทจิตใจและเวลาหลาย ๆ วันของผลงานแต่ละชิ้น เพื่อให้งานออกมาแล้วเหมือนมีชีวิต มีวิญญาณ มีคุณค่าและสอดคล้องกับประเพณี ความเชื่อ ศาสนาและการแต่งกายของท้องถิ่นและสากลนิยมและเป็นงานศิลปหัตถกรรมชิ้นหนึ่งที่ไม่ส่งผลกระทบต่อภาวะโลกร้อน เนื่องจากเป็นงานศิลปะที่ไม่ใช้พลังงานไฟฟ้าและเทคโนโลยีในการผลิตเป็นการลดการใช้ปุ๋ยไนโตรเจนและลดใช้พลังงานน้ำมัน มีการใช้พลังงานทดแทนสามารถช่วยแก้ปัญหาภาวะโลกร้อนได้เป็นอย่างดี